หวนย้อนนึกระลึกถึงเหตุวิกฤตการณ์ปากน้ำ ร.ศ. 112 ซึ่งเกิดขึ้นในปีมะเส็งตรงกับวันที่ 13 กรกฎาคม 2436 (ร.ศ. 112) เป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ในอดีตที่สร้างความเศร้าโศกเสียพระราชหฤทัยให้กับพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ไม่เป็นอันเสวยหรือบรรทมจนทรงพระประชวรหนัก เพราะเหตุทรงเจ็บช้ำพระราชหฤทัย ขมขื่นระทมทุกข์ แม้กระทั่งพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากร
เกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือ เสด็จเตี่ย ต้นราชสกุล อาภากร พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 จึงทรงสักยันต์ ตราด ร.ศ. ๑๑๒ ให้นักเรียนนายเรือรุ่นแรก ๆ เพียงไม่กี่คนด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง
รวมทั้งที่พระอุระ (อก) ของพระองค์ด้วยเพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงความเจ็บช้ำที่เกิดจากวิกฤตการณ์ปากน้ำ ร.ศ. 112 จากชาติจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสที่เข้ามาขยายอิทธิพลเข้าครอบครองอินโดจีน ประกอบด้วย โคชิน
ตังเกี๋ย อันนัม กัมพูชา และ บางส่วนของลาวมาตั้งแต่ในรัชกาลที่ 4 จนกระทั่งฝรั่งเศสย่ามใจรุกคืบบุกเข้ามารุกรานแผ่นดินสยามทางทะเล เกิดการรบกันที่ปากน้ำเจ้าพระยา ทำให้เกิดเหตุการณ์สู้รบในศึกที่เรียก
ว่า Franco - Siamese War หรือ สงครามฝรั่งเศส - สยาม
ป้อมพระจุลจอมเกล้า ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 2427 สร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมยิงเมื่อ พ.ศ. 2436 และปืนเสือหมอบทั้ง 7 กระบอก
ที่ตั้งอยู่ในหลุมปืนเป็นรูปกลม ได้ผงาดและยืดตัวให้ปืนพ้นปากหลุมนี้ขึ้นมาได้เวลาจะทำการยิงด้วยการใช้อากาศและน้ำมันอัด และเมื่อทำการยิงไปแล้วก็จะกลับไปหมอบในหลุมปืนตามเดิม ปืนเสือหมอบซึ่งเป็น
ปีนใหญ่มีขนาดกว้างปากลำกล้อง 152 มิลลิเมตร ระยะยิงไกลสุด 8,046 เมตร ผลิตโดย บริษัท เซอร์ ดับบลิว จี อาร์มสตรอง จำกัด (Sir W.G. Armstrong Co., Ltd.) ประเทศอังกฤษ ถือได้ว่าเป็นปืนเสือหมอบ
ชุดสุดท้ายในโลกที่ยังสามารถยิงได้จริง
ผลจากการสู้รบระหว่างฝรั่งเศส - สยาม ในวิกฤตการณ์ปากน้ำ ร.ศ. 112 ทำให้สยามประเทศต้องเสียดินแดนทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง นั่นคืออาณาเขตบริเวณประเทศลาวในปัจจุบัน รวมเงินค่าปรับเป็นค่าปฏิกรรม
สงคราม ต้องถือว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินกุศโลบายให้ประเทศชาติหลุดพ้นจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสด้วยการเสียแขนเพื่อรักษาร่างกายและชีวิตเอาไว้ต่อสู้ต่อไปในวันข้างหน้า
2 - 3 วัน ก่อนถึงวันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม 2554 ณ ฟอร์ซ่า สเตเดี้ยม เวลา 16.00 น. สมุทรปราการ เอฟซี เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของกองเรือสำเภาผยอง สมุทรสาคร เอฟซี ที่จะล่องลอยเรือมาจากแม่น้ำท่าจีน
สู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อถึงเวลานั้นหล่าพล ป้อมปืนปราการ พร้อมประจำการรัวลั่นไกด้วยกระสุนศรัทธาใส่กองเชียร์ปลาตีนพิฆาตและนักเตะสำเภอผยอง กระสุนศรัทธาที่จะไม่หมอบต้วมเตี้ยมอีกต่อไป แต่จะผงาด
สำแดงแสดงตัวตนที่แท้จริงว่า ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ปากน้ำใดอีกสักกี่ครั้งกี่หนก็ตาม เมื่อเสร็จสิ้นสมบูรณ์ความของการย้ายออกไปของนักเตะที่ต้องจากไปไม่ว่าจะไปเพื่ออนาคต หรือ รายได้ความมั่นคงที่มากขึ้น
ตามวิถีเส้นทางเดินของคำว่านักเตะอาชีพ ขอแสดงความขอบคุณกับผลงานที่ท่านได้สร้างไว้ ณ แดนดินถิ่นปราการ เอฟซี และด้วยนักเตะเดิมที่คงอยู่ ผนึกรวมกำลังกันกับนักเตะใหม่ที่เติมเพิ่มเข้ามาพร้อมการหนุน
ตะโกนเชียร์ของกองทัพป้อมปืนปราการ ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องทำให้ปราการ เอฟซี ต้องหวั่นกลัวเกรงอีกแล้ว ไม่ว่าจะต้องเดินต่อสู้ท่ามกลางลมแรง หรือ พายุร้าย ป้อมปืนปราการก็ต้องเดินฝ่าฟันให้ถึงจุดหมายแห่งชัย
บรรยากาศในวันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม 2554 ภายในฟอร์ซ่า สเตเดี้ยม จะเป็นปรากฎการณ์ใหม่แห่งปากน้ำ ร.ศ. 112 ด้วยครั้งนี้ คือ รัก ศรัทธา ร้อย ใจนักเตะหมายเลข 12 กองเชียร์ป้อมปืนปราการเป็นหนึ่งเดียว
ด้วยการสำแดงเดชแห่งพลังป้อมปืนปราการว่า พวกเราต่างกลับมาร่วมแรงร่วมใจด้วยความพร้อมเพรียงกันในการส่งเสียงเชียร์สมุทรปราการ เอฟซี กระหึ่มฟ้าสองสมุทร ซึ่งในครั้งนี้ ปราการ เอฟซี จะมีได้กับได้อย่าง
เดียวอย่างมีความสุขเพราะป้อมปืนปราการจะริบสามแต้มสำเภาทองกลับคืนมาสู่บ้านปากน้ำ พร้อมได้รับชัยชนะเหนือกองเรือสำเภาผยองที่ต้องอับปางจมลงก่อนคืนถิ่นปากแม่น้ำท่าจีน