เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ได้ดูฟุตบอลครั้งแรกตอนบอลโลก 90 ก็จำไรได้ไม่มากนัก ก็สนใจดูตลอดมา เริ่มติดตามฟุตบอล
โดยซื้อซ๊อคเกอร์ตอนนั้นเล่ม 5 บาทเปงเล่มแรกในชิวิตแล้วก็บ้าฟุตบอลตั้งแต่นั้นเปงต้นมา
และได้แต่คิดและฝันตลอดว่า
สักวันต้องไปโรงละครแห่งความฝัน และก็คิดว่ามันน่าจะดีถ้ามีทีมของบ้านเราได้เชียร์แบบสุดใจ
แต่ไอ้โรงละครแห่งความฝันคงไม่ต้องไปแระ เพราะมันมีบางอย่างที่ดีกว่านั้นและอยุ่ใกล้ตัว
เคยสงสัยว่าทำไมทีมเมืองนอกทีมเล็กๆคนถึงเชียร์ได้ขนาดนั้น จนได้มาเจอกับตัวเอง
ที่ได้เชียร์ทีมเล็กๆที่เต้มไปด้วยกลิ่นไอของความศรัทธา กลิ่นสาปของความมุ่งมั่น
นั่งคิดเล่นๆก็ดูมาตั้งแต่นัดแรกจนถึงนัดล่าสุดนี้ก็ปาเข้าไป 5 เดือนเข้าไปแล้ว
นั่งย้อนไปก็จะเห็นการเติบโตของทีมเล็กๆ
ถ้าเปรียบเสมือนหนัง เสาร์ที่ผ่านก็คงถึงจุด คายแมก ก็ไม่แปลกนัก
เป็นตอนที่ทุกคนรอคอยอยากดูมากที่สุดยิ่งกว่าตอนจบของเรื่องเสียอีก
หลายท่านนอนไม่หลับเมื่อถึงวันศุกร์ หลายท่านนับวันรอตั้งแต่วันจันทร์ หลายท่านเหม่อลอย คอยให้ถึงวันเสาร์
และแล้วมันก็มาถึง
นัดนี้ไปกัน 200 ท่านได้ จากนัดแรกที่ไปเยือนมีเพียง 2 ท่าน พอนึกแล้วน้ำตาจะไหลทุกครั้ง
รถบัส 2 คันออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เส้นทางแห่งความฝันที่รออยุ่ด้านหน้า
ทุกคนคึกคัก ฮึกเหิม มีเพื่อน พี่ น้อง ทั้งหน้าเก่าที่คุ้นตา ทั้งหน้าใหม่ที่พร้อมต้อนรับ
เมื่อบอลแห่งโชคชะตาได้เริ่มเคลื่อนไหว เสียงเชียร์อันทรงพลังที่พวกเราเปล่งออกมาจากใจก็ดังสนั่น
(ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ขอพูดถึง นะ )เมื่อจบเสียงแห่งการตัดสินโชคชะตาและความฝันหมดลง
ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากตอนมาอย่างสิ้นเชิง
ไม่เคยเสียใจ ไม่เคยรุ้สึกเจ็บขนาดนี้มาก่อน แล้วที่สำคัญ มันเสียใจและน้ำตาไหล
เพราะฟุตบอลไม่น่าเชื่อว่ามันเกิดขึ้น
เพราะไรหรอที่มันเกิดขึ้น ได้แต่ถามตัวเอง ทำไมมันเจ็บขนาดนี้
บรรยากาศการเดินทางกลับสู่ดวงดาวของเรา เงียบสงบ ไร้ซึ้งสีสัน พลังศรัทธาก็จะดับลงไปด้วย
แต่มันก็แค่ฉากๆหนึ่ง เมื่อทุกคนหลับแล้วตื่นขึ้น มันก็ไม่ทำให้เราลืมไปได้หรอก
แต่มันทำให้เราจำสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อมาเปงแรงผลักให้ไปข้างหน้า ในโลกของความจิง
น้ำที่ไหลออกจากตามันไม่ใช่น้ำตา แต่มันคือ
น้ำที่ล้างตาที่มันขุ่นมัว ให้มันใสขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อที่จะได้มองเห็นทางข้างหน้าชัดขึ้น ตังหากเล่า
ถ้าไม่เคยแพ้แล้วจะรู้หรอว่า ชัยชนะมันมีค่าแค่ไหน