เจ๊าแบบเจ็บจี๊ดๆ กันอีกแล้วนะครับ สำหรับ "ป้อมปราการ"
ทั้งๆที่ก่อนเริ่มเกม กองเชียร์ฝั่งฟ้า-ขาวนั้นพร้อมแปลงร่างเป็น "มาธาดอร์" เตรียมปราบพยศวัวกระทิงจากเมืองหลวง แต่ไปๆมาๆ จะด้วยความประมาทหรือเป็นเพราะความกดดันมากเกินไปก็ไม่รู้ ถึงทำให้มาธาดอร์ฟ้า-ขาว หวุดหวิดจะโดนกระทิงเหล็กขวิดไส้ไหลหลายต่อหลายครั้ง
เกมนี้ แฟนๆป้อมปราการยังมากันเต็มอัฒจันท์ทั้ง 3 ฝั่งเหมือนเกมที่แล้วเลยนะครับ ขณะที่ทางฝั่งทีมเยือนก็ขนกันมาเกือบเต็มอัฒจันท์เหมือนกัน
ป้อมปราการในวันนี้มีการขยายแสนยานุภาพในการเชียร์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากเดิมที่เคยมีฝั่งฮาร์ดคอร์ยืนเชียร์ ยืนข่มขวัญผู้มาเยือนแค่ฝั่งซุ้มม้านั่งสำรองของปราการฝั่งเดียว แต่มาวันนี้ด้วยการชักนำจาก "คุณกอล์ฟ" ที่ต้องการพัฒนาบ้านเช่าหลังนี้ ให้กลายเป็น "สรวงสวรรค์ของป้อมปราการ อวสานของผู้มาเยือน" จึงทำให้อัฒจันท์ฝั่งซุ้มม้านั่งของทีมเยือน ที่เคยเป็นโซนนั่งเชียร์ ให้กลายเป็น "ฮาร์ดคอร์โซน สาขา 2"
ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมา ส่วนตัวผมแล้วให้ "ผ่าน" เลยนะครับ
นัยว่า ได้แรงจากพี่ๆน้องๆฝั่งฮาร์ดคอร์สาขา 1 มาช่วยกันทำให้ฝั่งนี้ดุดันขึ้น และหากเรายังคงเดินหน้าต่อไปในโปรเจคท์นี้ ผมมองว่ามีแนวโน้มที่ป้อมปราการจะมีกองเชียร์ที่ "สุดยอด" ได้ในระดับเดียวกับกลุ่มอุลตร้าเมืองทองแน่นอนครับ
แม้หลายๆคนจะยังมองว่าไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่กับการขยายแสนยานุภาพในการเชียร์ของฮาร์คอร์สาขา 2 แต่ผมอยากให้มองว่ามันคือการเริ่มต้นไปสุ่การพัฒนาที่ยั่งยืนนะครับ
การเริ่มต้นอะไรที่ใหม่สำหรับเราซักอย่าง ผมว่ามันยากและตะกุกตะกัก จนบางทีเราก็อาจจะท้อและยอมถอยไปในท้ายที่สุด
แต่หากเราไม่กล้าที่จะลองปรับ ลองเปลี่ยน โดยมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดคือ "ประโยชน์ของส่วนรวม" แล้วล่ะก้อ ผมคิดว่า "การพัฒนา" มันจะไม่เกิดนะครับ
เช่นเดียวกับ "การปรับเปลี่ยน" อะไรหลายๆอย่างในสนามของทีมป้อมปราการเราเหมือนกัน
ผมได้ยิน ได้ฟังใครต่อใครบ่นกันถึง "ความเปลี่ยนแปลง" ที่เกิดขึ้น จนพาลให้ "เอกลักษณ์" ที่เคยมีของทีมดูจะหดหายไป จนแฟนบอลหลายคน "วิตก" และเริ่มที่จะ "กลัว" ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ว่าสิ่งที่ทีมอุตส่าห์บากบั่นมาจนไกล จะมาล้มเอาในตอนที่สำคัญที่สุดอย่างรอบ "ชปล." นี้
ทุกคนมีสิทธิ์วิพากษ์ และมีสิทธิ์ที่จะ "ห่วง" ทีมครับ
แต่หากเรามานั่งมองอย่างเป็นกลางแล้ว เราจะเห็นแนวโน้มอะไรหลายๆอย่างที่ "ป้อมปราการ" ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้นะครับ
ผมขอเริ่มจากระบบการเล่นก่อนเลย
ในระบบ 3-5-2 หรือที่หนังสือพิมพ์มองว่าเป็น 5-3-2 นั้น ระบบนี้มีทั้งจุดดีและจุดเด่นอยู่ในตัว และเมื่อคุณเอาทั้งสองอย่างมาขยำรวมกับความสามารถของนักเตะในทีมเราที่มีอยู่ เราคงต้องยอมรับว่า
"ระบบ 3-5-2 เป็นระบบที่เหมาะกับศักยภาพของนักเตะเราที่สุดแล้ว"
มันเนื่องมาจากระบบนี้จะมีการครอบครองบอลจากแดนกลางที่หนาแน่น นักเตะในทีมจะครอบคุลมพื้นที่ในแดนกลางทั้งหมดจนทำให้ทีมเราสามารถครองเกมเอาไว้ได้ แบบไม่เป็นรองคู่ต่อสู้มากนัก
อีกทั้งในระบบนี้ จะมีมิดฟิลด์ที่ทำหน้าที่เหมือน "คนแบกเปียโน" คอยยืนต่ำสุดในแผงกองกลาง เพื่อชะลอบอลที่ทะลุมาไม่ให้หลุดไปถึงกองหลังของเราจนเร็วเกินไปนัก
แต่จุดที่ทำให้ระบบนี้ เราไม่สามารถก้าวไปถึง "ขอบฟ้า" ได้ในปีที่แล้ว ก็คือการขึ้นเกมที่ไม่หลากหลาย อันนำมาซึ่งเป้าหมายสูงสุดของการเล่นฟุตบอลนั่นก็คือ "การทำประตู"
จะสังเกตุได้นะครับ ว่าปราการเราครองบอลสู้ได้ก็จริง แต่การขึ้นเกมเดินเกมรุก มันไม่หลากหลาย มันมีแพทเทิร์นที่คู่ต่อสู้สามารถจับทางได้ หากเขามีกุนซือที่อยู่ในระดับ "ซือแป๋" คอยดักทางอยู่ข้างสนาม
ดังนั้น เมื่อทีมลองเปลี่ยนรูปแบบการเล่นมาใช้ 4-4-2 ผมเชื่อว่าลึกๆแฟนๆป้อมปราการหลายคนก็ถูกใจ!
เพียงแต่มันดันมาเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แฟนๆมองว่าไม่เหมาะเท่าไหร่ ก็แค่นั้นเอง
แต่ในเมื่อต้องการพัฒนา เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงและร่วมเดินหน้าไปด้วยกัน
4-4-2 อาจเป็นระบบที่ไม่เหมาะกับศักยภาพของนักเตะเราเท่าไหร่ เพราะนักเตะเรานั้นตอนนี้ สมองและไลน์การวิ่งนั้น ถูกระบบ 3-5-2 กลืนจนกลายเป็นธรรมชาติไปแล้ว
ดังนั้น การกล้าเปลี่ยนของทีมงาน ต้องนับว่าเป็นความ "กล้า" ที่สุ่มเสี่ยงต่อการโดนด่าและล้มเหลวเป็นอย่างมาก
แต่มันจะไม่ล้มเหลวแน่ๆ หากแฟนๆป้อมปราการทุกคนพร้อมยืนหนุนหลังทีมงาน เหมือนที่เราเคยหนุนหลังป๋าแหยมของเรา อันเป็นกำลังใจที่ทำให้ทีมงานเดินหน้าไปสู่เป้าหมายได้
ผมได้ไปนั่งดูปราการอุ่นเครื่องกับตรัง ที่สนามแพท ก่อน ชปล.เกมแรกจะเริ่มได้ประมาณ 3-4 วัน
เกมนั้น อ.ทองสุข โค้ชบางกอก ก็แอบเข้ามาซู่มดูอยู่ด้วย และคงไม่แปลกอะไรหากเขาจะเห็นจุดอ่อนจากการที่นักเตะเรากำลังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนแท็คติค
วันนั้น ผมนั่งดูอยู่แอบสังเกตุเห็นว่า การเคลื่อนที่เดินเกมรุกของเราดูดีขึ้น มีระบบแบบแผนที่หวือหวาขึ้น แบ็คซ้าย-ขวาเติมเกมรุก ลงไปเล่นเกมรับค่อนข้าง "ถูกจังหวะ" และที่สำคัญ
เกมนั้นมีคนสำคัญอย่าง "อามัว"
ช่วงแรกผมเห็นอามัวเล่นปีกขวา ก่อนจะขยับไปเล่นหน้าคุ่กับเดอะ มัส ซึ่งไม่ว่าจะให้เดอะ มัสพักบอล หรือยืนเป็นตัวเป้า ไลน์การวิ่งของเดอะ มัส กับอามัวดูไหลลื่น สร้างโอกาสได้หวือหวาพอสมควร
แต่เกมที่เสมอทั้งภูเก็ต และบางกอกนั้น อย่าลืมนะครับว่าทีมเราขาด "อามัว" ไปนะครับ
เพราะผมเชื่อเสมอว่า "อามัว" นี่แหละที่เป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญสำหรับแผน 4-4-2 ของอ.จักรี
ในเกมกับบางกอก
ครึ่งแรก ผมสังเกตุเห็น "หนุ่ม" มงคล วรพรหม ขึ้นสูงมาก ซึ่งหากเป็นระบบเดิม ไม่มีปัญหาเลย เพราะจะมีตัวคอยรองให้ แต่ในระบบ 4-4-2 นี้ เวลาหนุ่มเสียบอลแล้ว ด้วยธรรมชาติ บอลทางฝั่งขวาเลยทะลุเป็นว่าเล่น แถมปีกขวายังเติมเกมขึ้นไปอีก ทำให้บางกอกโต้มาแต่ละที ได้เสียวตลอด
นี่ถ้าไม่มียันต์มหาอุตม์ของ "ชูเกียรติ ฉิมวงศ์" ผมว่าเรากระอักเลือดกว่านี้แน่ๆ
แต่ผมขอชมเกมรับฝั่งซ้ายนะครับ ค่อนข้างเติมเกมได้ถูกจังหวะ ถึงจะมีหลุดบ้าง แต่ภาพรวมผมว่าเขาเริ่มปรับเข้ากับระบบนี้ได้แล้ว
ขณะที่กองกลาง ผมยังไม่เห็นคนที่คอยแบกเปียโน คอยชะลอเกมบุกให้เลย แต่ "เจ้าตอย" ก็ดูปรับตัวได้ดีขึ้นจากเกมแรกนะครับ ผมว่าเขาเหมาะกับบทบาทนี้ คอยตัดเกมไม่ให้บอลทะลุไปถึงแดนหลังเราเร็ว
แต่ไฮไลท์ทั้งสองนัด ที่ทำให้ผมมอง อ.จักรี ด้วยสายตาเป็นกลางมากขึ้นนั่นก็คือ
"การแก้เกม" เมื่อลงมาเล่นใครึ่งหลังครับ
ทั้งสองนัด 'จาร์ยมองเกมและกระตุ้นทีมได้ชนิดน่ากระแทกมือให้ ยิ่งเกมกับภูเก็ต ครึ่งหลังลงมายังกับเล่น 11 คนเท่ากันเลย ส่วนเกมกับบางกอก ถ้า "เชิ้ตดำ" ไม่ทำตัวน่าสงสัย ผมว่าบรรยากาศหลังเกมต้องจบลงด้วยความครึกคื้นของมาธาดอร์ฟ้า-ขาวอย่างแน่นอน
ผมเชื่อมือทีมงานทุกคนของป้อมปราการนะครับ โดยเฉพาะประธานอาร์ต
ผมว่าทุกๆการเปลี่ยนแปลง ทั้งในส่วนของกองเชียร์ที่พยายามพัฒนาแสนยานุภาพการเขย่าขวัญคู่ต่อสู้ด้วยการกระจายกำลังไปเรื่อยๆ (เพราะทีมเราไม่เคยได้เปรียบจากกรรมการเลย ไม่ว่าจะเล่นใน-นอกบ้าน) แต่เราน่าสะพรึงก็ด้วยเสียงเชียร์ของครอบครัวปราการนี่แหละครับ
และการเปลี่ยนแปลงในส่วนของผู้เล่นในสนาม ผมยังเชื่อว่า "การมองนอกกรอบ" คือ "ก้าวแรก" สู่การพัฒนาไปยัง "ขอบฟ้า" เสมอครับ
เสมอในบ้านสองนัด อาจน่าวิตก
แต่หากคุณรู้จักทีมนี้ดีพอ คุณจะรู้ว่าทีมเล็กๆแต่ใจใหญ่ทีมนี้ ไม่เคยเปรี้ยงปร้างในช่วงต้นอยู่แล้ว แต่ทีมๆนี้มักจะมี "ศรัทธา" เสมอในเกมที่ "สำคัญ" โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
นัดหน้าเจอระยอง ผมจะพาครอบครัวไปช่วย "เปิดซิง 3 แต้ม" ที่นั่นด้วยนะครับ
แล้วเจอกัน