ถ้าพูดถึงตำนานลูกหนังโลก ภายใต้อาภรณ์หมายเลข 6 แล้ว ผมเชื่อว่าแฟนบอลคงพรั่งพรูชื่อของยอดนักเตะออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น "ไกเซอร์ฟรานซ์", "ยาป สตัม", "แกรี่ พัลลิสเตอร์", "ฟรังโก้ บาเรซี่" และอีกไปยาลใหญ่ (เวส บราวน์ คงไม่นับนะครับ ฮ่าๆ)แต่ถ้าคำถามนี้มาถามแฟนบอลสมุทรปราการ เอฟซี แล้วล่ะก็...
ผมว่าร้อยทั้งร้อยล้วนมีคำตอบในดวงใจแค่คำตอบเดียวเท่านั้น
"เดอะ ดั๊ค" พงษ์สิริ ยะกัณฐะ
There's only one the Duck...กัปตันปราการ หนึ่งเดียวคนนี้นี่เองงงงงงง
กัปตันเป็ด ชายผู้มีหัวใจทั้ง 4 ห้องเป็นสีฟ้าขาวคนนี้ ถ้าผมจะบอกว่าเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของสมุทรปราการ เอฟซี คงไม่มีใครกล้าเถียง เพราะนอกจากกัปตันของเราคนนี้จะเป็นนักเตะที่ถือครองสถิติลงสนามกับทีมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ (66 นัด) แล้ว ยังเป็นบุคคลที่ยืนเคียงข้างป้อมปราการป้อมนี้มาตลอด ไม่ว่าป้อมปราการป้อมนี้จะรุ่งโรจน์หรือโยกคลอนจนศรัทธาแทบพังทลายจากพายุการเงินในช่วงยุคมืดของสโมสร ผมก็ยังเห็นผู้ชายคนนี้ยืนปักหลักกับพี่อาร์ท อดีตประธานสโมสรช่วยกันกอบกู้และพยุงป้อมปราการป้อมนี้ตลอดมา
แฟนบอลรุ่นแรกคงรู้ซึ้งถึงความเป็นมิสเตอร์ป้อมปราการของพี่เป็ดเป็นอย่างดีแล้ว แต่สำหรับแฟนบอลรุ่นใหม่ๆ ผมขออนุญาตหมุนเข็มนาฬิกากลับไปเล่าถึงประวัติและวีรกรรมของมิสเตอร์ปราการคนนี้หน่อยนะครับ
แล้วคุณจะหลงรักกำแพงเหล็กหมายเลข 6 ของเราคนนี้ เหมือนที่พวกผมหลงรัก
พี่เป็ดเป็นอดีตผู้เล่นของทีม TOT ในไทยลีกมาก่อนครับ ซึ่งในสมัยนั้นพี่เป็ดได้ร่วมโม่แข้งในยุคเดียวกับ
"สุเชาว์ นุชนุ่ม" และทาง TOT ในช่วงนั้นก็ได้เถลิงบัลลังก์แชมป์ ดิวิชั่น 1 อีกด้วย
นอกจากนี้ พี่เป็ดยังเคยได้ร่วมเล่นให้กับทีม ม.กรุงเทพ ในไทยแลนด์ลีก พร้อมกับผลงานในทีมชาติ ได้รับเกียรติให้ติดทีมชาติชุดเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี (U-18) โดยมีเพื่อนร่วมทีมในสมัยนั้นได้แก่
"นิรุจน์ สุรเสียง" และ
"พีรพัฒน์ โพธิ์เรือนดี" และในช่วงนั้นได้ไปร่วมการแข่งขัน
"ศึกฟุตบอล 4 เส้า" ที่ประเทศเวียดนามด้วย แต่ในภายหลังได้รับบาดเจ็บหัวเข่าต้องพักรักษาตัวนานถึง 1 ปี
หลังจากมาอยู่กับเรา พี่เป็ดใช้ประสบการณ์ที่ข้นคลั่กจากลีกระดับท็อปมาดูแลน้องๆ และยืนปักหลักเก็บกวาดงานในแดนหลังให้กับป้อมปราการของเราอย่างสุดยอด ช่วงพีคๆ อย่างปี 2009 กับปี 2010 ป้อมปราการของเราแกร่งและแน่นสมชื่อ โดยเฉพาะในปี 2010 ที่จับคู่กับ
"เจ้าโอ๊ต" ชัยรัช ศรีสุขพร้อม (หมายเลข 3 คนปัจจุบัน) สร้างสถิติสุดแกร่งให้กับเราด้วยการเสียประตุน้อยสุดในลีกถึง 2 ปีซ้อน โดยปี 2009 เสียแค่ 20 ประตู แต่ปี 2010 ที่จับคู่กับเจ้าโอ๊ต เสียแค่ 16 ประตู และแพ้ทั้งฤดูกาลแค่นัดเดียวเท่านั้น
สมุทรปราการยุคนั้น ใครก็มาเคี้ยวเรายากมากครับถ้าแฟนรุ่นใหม่นึกภาพพี่เป็ดไม่ออก ลีลาของกัปตันเราคงประมาณ
"ริโอ เฟอร์ดินานด์" หรือไม่ก็
"ซามี่ ฮูเปีย" นั่นแหละครับ เป็นกองหลังประเภทบอลทาง เข้าสกัดแม่นยำ สง่างาม และมีเลือดของผู้นำเต็มขั้นสุดๆ
ประมาณปี 2012 ช่วงรอยต่อของสโมสร ปีที่ผมมองว่าเป็นปีวัดใจอะไรหลายๆ อย่างของสโมสรแห่งนี้เลยแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นงบการเงินที่จำกัดสุดขีด ไม่มีงบจ้างนักเตะระดับท็อป ต้องหันมาเน้นที่เยาวชนแทน ความกดดันที่ต้องพาทีมไปอยู่ในจุดสูงสุดเหมือนปีแรกๆ
แต่พี่เป็ดก็ก้าวเข้ามารับหน้าที่คุมสโมสรที่เขารักเต็มตัวครับปีนั้น แม้จะสุ่มเสี่ยงต่อความล้มเหลวและเสียงสวดชยันโตจากแฟนๆ หากผลงานไปไม่ถึงเป้าหมาย แม้ช่วงที่พี่เป็ดคุมทีมผลงานของจะลุ่มๆ ดอนๆ มีเสียงบ่นจากแฟนบางคนเป็นระยะ แต่พี่เป็ดก็ยังคงประคับประคองทีมได้อย่างดีท่ามกลางงบประมาณที่จำกัด ไม่เคยแม้แต่จะทอดทิ้งทีมไปไหน
วัดหัวจิตหัวใจกันไปเลยครับ ช่วงนั้นหลังจากสโมสรเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง นอกจากแฟนบอลแล้ว ผมว่าก็คงมีพี่เป็ดนี่แหละครับที่มีความสุขกับแนวทางของทีมในตอนนี้มากๆ
เข้าสู่ปีที่ 7 แล้วนะครับ ชายผู้มีหัวใจสีฟ้าขาวคนนั้น ยังคงยืนหยัดช่วยสร้างป้อมปราการป้อมนี้อยู่แบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือปริปากบ่น แม้แสงสปอตไลท์จะไม่ได้สาดส่องเขาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
และวันนี้ นาทีนี้ที่ผมกำลังเขียนถึงพี่ชายคนนี้ ก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของ
"El Capitano" คนนี้พอดิบพอดีเลยครับ
36 ขวบสำหรับอายุในบัตรประชาชน
7 ขวบสำหรับป้อมปราการ คิดเป็น 1 ใน 5 ของชีวิตเลยทีเดียวนะครับ สำหรับการคลุกคลีและรับใช้สโมสรนี้
ผมคงไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่า
ขอบคุณ และสุขสันต์วันเกิดครับ พี่เป็ด ^^